ข่าวเด่นจาก Yengo

ข่าวดี!! สำหรับทุกคนที่อยากสวยคงทน สุขภาพแข็งแรง มีอาหารเสริมดูแลตัวเองแบบฟรี ๆ ทุกเดือน รับให้คำปรึกษา ฟรีครับ โทร.08-7033-5287

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

นิทานสอนตน

Blog เพื่อการแบ่งปันสิ่งดีๆ ในการพัฒนาตัวเอง เพื่อความสุขที่มากกว่าของทุกคน โปรดส่งลิ้งแบ่งปันต่อเพื่อน ๆ เพื่อสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้น่าอยู่ต่อไป.

1.ถังใบร้าว
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งทำงานเป็นคนขนน้ำที่บ้านเศรษฐีหลังหนึ่ง เขามีถังน้ำใบใหญ่สองใบเอาไว้ใช้ในการขนน้ำ ถังใบหนึ่งสมบูรณ์แบบไม่มีรอยร้าวใดๆ เลยในขณะที่อีกใบหนึ่งมีรอยร้าว เขาจะขนน้ำได้เต็มถังจากลำธารไปจนถึงบ้านของเศรษฐีด้วยถังใบที่สมบูรณ์ ในขณะที่ถังอีกใบร้าวเมื่อไปถึงบ้านจะเหลือน้ำอยู่ในถังเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ชายคนนี้ขนน้ำจากลำธารไปยังบ้านเศรษฐีวันละหลายรอบ และแต่ละรอบเขาจะขนน้ำได้เพียงหนึ่งถังครึ่งเท่านั้น ตลอดระยะเวลาที่เขาขนน้ำอยู่ทุกวันสองปีเต็ม

แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ถังที่ไม่มีรอยรั่วภาคภูมิใจมากกับความสำเร็จของมัน เพราะมันสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติใดๆ แต่ถังที่มีรอยรั่วนั้นเกิดความละอายใจในความไม่สมบูรณ์พร้อมของมัน และเสียใจที่มันทำงานสำเร็จเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
หลังจากสองปีแห่งความล้มเหลว มันได้พูดกับคนขนน้ำในวันหนึ่งที่ริมลำธารว่า "ฉันรู้สึกละอายใจในตัวของฉัน และฉันอยากจะขอโทษท่าน"
"ขอโทษเรื่องอะไร?" คนขนน้ำถาม "เจ้าละอายใจเรื่องอะไร?
"ก็ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ ฉันขนน้ำได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเพราะมีรอยร้าวบนตัวฉัน ทำให้น้ำรั่วระหว่างทางกลับไปบ้านเจ้านายของท่าน เพราะความบกพร่องของฉันเองทำให้คุณไม่ได้ผลงานเต็มจากความพยายามของคุณ" ถังน้ำพูด

คนขนน้ำรู้สึกสงสารถังร้าวใบนั้น และด้วยความสงสารเขาจึงกล่าวว่า "เวลาที่เรากลับไปที่บ้าน ฉันอยากให้เจ้าสังเกตดูดอกไม้สวยงามตลอดริมทางเอาไว้"

ระหว่างทาง ถังร้าวได้สังเกตมองดูดอกไม้ป่าสวยงามที่อยู่ริมทางทำให้มันชื่นใจขึ้นบ้าง แต่เมื่อสุดทาง มันก็ยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่เพราะน้ำได้รั่วออกไปจากมันครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม มันจึงกล่าวขอโทษต่อคนขนน้ำอีกครั้ง

คนขนน้ำพูดกับถังร้าวใบนั้นว่า "เจ้าสังเกตเห็นไหมว่ามีดอกไม้อยู่ริมทางเดินทางฝั่งของเจ้าเท่านั้น แต่อีกฝั่งหนึ่งไม่มี?"

ถังร้าวนิ่งฟัง คนขนน้ำจึงพูดต่อไปว่า
"ฉันรู้ดีเกี่ยวกับข้อบกพร่องของเจ้า แต่ฉันก็หาประโยชน์จากข้อบกพร่องนั้น ฉันได้ปลูกดอกไม้ไว้ริมทางเดินทางฝั่งของเจ้า และเมื่อเราเดินกลับจากลำธาร เจ้าก็ได้รดน้ำให้ดอกไม้พวกนี้ทุกวัน สองปีมานี้ฉันจึงได้เก็บดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นไปประดับโต๊ะของเจ้านายได้ ถ้าไม่มีเจ้าแบบที่เจ้าเป็นอยู่นี้ เขาก็คงจะไม่มีดอกไม้สวยๆ เหล่านี้มาเพิ่มความงามให้บ้านของเขาหรอก"

คติจากเรื่องนี้ : เราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องของตัวเอง แต่ด้วยรอยร้าวและข้อบกพร่องของเราแต่ละคนนี้ทำให้เราใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างน่าสนใจ เราต้องยอมรับกันและกันไปตามสิ่งที่แต่ละคนเป็นและมองหาสิ่งที่ดีในตัวเขาเหล่านั้น

2.เพื่อนตาย

นี่คือเรื่องของเพื่อนรักสองคนที่อาศัยอยู่ในเมืองซีราคูสเมื่อนานมาแล้ว คนหนึ่งชื่อฟินเทียส และอีกคนชื่อเดม่อน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่รักกันมาก

ซีราคูสในสมัยนั้น ปกครองโดยพระราชาผู้โหดเหี้ยมองค์หนึ่งชื่อดิโอนีเซียส ไม่มีใครในราชอาณาจักรแห่งนี้กล้าพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับพระราชาองค์นี้ เพราะถ้าพูดอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เขาจะถูกจับแล้วถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างไร้ความปรานีทันที

วันหนึ่ง ฟินเทียสถูกตัดสินประหารชีวิตเพราะมีคนได้ยินเขาพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพระราชาองค์นี้ ขณะที่ถูกคุมขังเพื่อรอวันประหารชีวิตนั้น ฟินเทียสอยากจะกลับไปหาครอบครัวของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เขาขอให้เดม่อนเพื่อนรักของเขาอยู่ในคุกแทนเขาในระหว่างที่เขากลับไปหาครอบครัว เดม่อนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอยู่ในคุกแทนเพื่อนเพื่อให้เพื่อนได้กลับไปหาครอบครัว

เวลาผ่านไป ในที่สุด วันประหารชีวิตก็มาถึง อัฒจันทร์รอบลานประหารเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้ารอดูการประหารชีวิต แต่ฟินเทียสยังไม่กลับมา เดม่อนถูกนำตัวออกมาที่ลานประหาร เขาเดินขึ้นไปบนตะแลงแกงสำหรับตัดคอนักโทษอย่างสงบ เต็มใจอย่างยิ่งที่จะสละชีวิตของเขาแทนเพื่อน ประชาชนที่นั่นประทับใจจนน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งที่ได้เห็นความรักของเพื่อนที่ยิ่งใหญ่คนนี้

ในขณะที่เพชรฆาตกำลังยกดาบขึ้นนั้น ก็มีเสียงดังระงมขึ้นมาจากฝูงชนที่มาเฝ้าดู
"ฟินเทียสมาแล้ว! ในที่สุดเขาก็มา!"

ฟินเทียสวิ่งกระหืดกระหอบแหวกผ่านฝูงชนมายืนอยู่หน้าตะแลงแกง "ขอบคุณพระเจ้า ข้าไม่ได้มาช้าเกินไป" เขาพูด
แต่เดม่อนไม่ยอมลงมาจากตะแลงแกง ทั้งสองคนต่างยืนกรานที่จะเป็นคนถูกประหารเอง ทุกคนที่นั่นแทบไม่มีใครขยับเขยื้อนแม้แต่พระราชาดิโอนีเซียส

ประชาชนเริ่มร้องขอการอภัยโทษให้แก่ฟินเทียส จนในที่สุด ดิโอนีเซียสก็ยินดียกโทษให้ฟินเทียสและปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ ด้วยความประทับใจในมิตรแท้ที่เป็นเพื่อนตายอย่างแท้จริง

3.เรื่องของชาวประมง



วันหนึ่ง ชาวประมงคนหนึ่งนอนบนชายหาดที่สวยงามแห่งหนึ่งโดยมีคันเบ็ดตกลงปักอยู่บนทราย สายเบ็ดของเขาทอดยาวออกไปยังท้องทะเลสีน้ำเงินที่ส่องประกายระยิบระยับ เขากำลังดื่มด่ำกับแสงแดดอบอุ่นยามเย็นและโอกาสที่จะได้ปลา

ขณะนั้นเอง นักธุรกิจคนหนึ่งกำลังเดินเล่นบนชายหาดเพื่อยืดเส้นยืดสายจากการทำงานเครียดมาทั้งวัน เขาสังเกตเห็นชาวประมงคนนั้นนั่งอยู่บนชายหาด จึงตัดสินใจเข้าไปถามว่าทำไมชาวประมงคนนี้จึงมานั่งตกปลาอยู่แทนที่จะไปทำงานหนักกว่านี้เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

"คุณจะจับปลาได้สักกี่ตัวด้วยวิธีนี้" นักธุรกิจพูดกับชาวประมง "คุณควรจะทำงานให้มากกว่าการมานอนเล่นอยู่บนชายหาดนี่"

ชาวประมงมองมาที่นักธุรกิจคนนั้น ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า "แล้วผมจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?"
"คุณก็จะได้มีอวนใหญ่ๆ เอาไว้จับปลามากกว่านี้นะสิ" นักธุรกิจตอบ
"แล้วผมจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?" ชาวประมงถาม และยังคงยิ้มอยู่
นักธุรกิจตอบว่า "คุณจะได้มีเงินแล้วคุณจะได้ซื้อเรือซึ่งจะทำให้คุณจับปลาให้มากกว่านั้นอีกเยอะแยะเลย"
"แล้วผมจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?" ชาวประมงถามอีก

นักธุรกิจเริ่มหงุดหงิดกับคำถามของชาวประมง
"คุณจะได้ซื้อเรือที่ใหญ่กว่านั้น แล้วจ้างคนให้มาทำงานแทนคุณไงล่ะ" เขาตอบ
"แล้วผมจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?" ชาวประมงถามซ้ำ

นักธุรกิจเริ่มโกรธแล้ว "คุณไม่เข้าใจอีกหรือ? คุณก็จะได้มีเรือจับปลาหลายๆ ลำ ที่ออกหาปลาไปทั่วโลก แล้วให้ลูกจ้างของคุณจับปลาให้คุณไงล่ะ"
ชาวประมงถามอีกครั้งหนึ่งว่า "แล้วผมจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?"

นักธุรกิจโกรธจนหน้าแดง ตะคอกใส่ชาวประมงว่า "คุณไม่เข้าใจรึไงว่าคุณก็จะได้เป็นคนรวย แล้วคุณก็จะได้ไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีวิตอีกไงล่ะ คุณสามารถจะใช้เวลาทั้งวันนั่งมองดวงอาทิตย์ตกบนชายหาดแห่งนี้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องสนใจอะไรในโลกนี้อีก"

ชาวประมงยังคงยิ้มขณะที่เขามองนักธุรกิจ และพยักหน้าช้าๆ พลางกล่าวว่า "แล้วคุณคิดว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่หรือ?" แล้วเขาก็หันกลับไปมองดวงอาทิตย์ตก โดยมีคันเบ็ดอยู่ในน้ำ โดยไม่สนใจอะไรในโลกนี้

อย่างไรก็ตาม ทั้งชาวประมงและนักธุรกิจต่างก็มีมุมมองทางด้านวัตถุนิยมแบบไม่ถูกต้อง เราไม่ต้องทำงานหนักเพื่อให้ร่ำรวยแล้วมานั่งบนชายหาดโดยไม่ต้องสนใจใยดีอะไรในโลกนี้ นิทานสอนเราให้ทำงานหนักเพื่อรับใช้ครอบครัวและสังคมของเราและเพื่อให้ได้รับความพึงพอของผู้ทรงสร้างไม่ว่าเราจะเป็นคนจนหรือคนรวยก็ตาม

ที่มา www.ahlaubait.org

4.อย่าให้ใครทำลายฝัน
ในการสอบวิชาภาษาไทยของเด็กนักเรียนชั้นประถมแห่งหนึ่งคุณครูได้ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนความฝันของตัวเองมาส่ง เมื่อนักเรียนแต่ละคนมาส่ง คุณครูได้อ่านแล้วให้ผ่าน มีนักเรียนคนหนึ่งมาส่งเป็นคนสุดท้าย คุณครูอ่านแล้วพูดว่า เธอเขียนมาได้อย่างไรว่าจะมีที่ดินเป็นหมื่นไร่ มีวัวนม มีม้า มีแพะ มีแกะ อย่างละหมื่นตัว เธอรู้ไหมว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันต้องใช้เงินมากมายมหาศาลเพียงไหน เธออยากสอบตกใช่ไหม ครูให้โอกาสเธอกลับไปบ้าน เขียนมาส่งใหม่ในวันพรุ่งนี้ เด็กน้อยคนนั้นกลับบ้านไปปรึกษาพ่อของตัวว่าควรทำเช่นใดดี พ่อบอกว่า ลูกเอ๋ยไปคิดดูเองคืนนี้ก็แล้วกัน จะเขียนใหม่หรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า วันรุ่งขึ้น เด็กน้อยก็เอาเรียงความอันเดิมไปส่ง คุณครูเห็นแล้วก็พูดว่า ตกลงเธอจะสอบตกใช่ไหม เด็กน้อยพูดว่า ก็คุณครูให้เขียนความฝันของผม ผมก็เขียนความฝันของผมแล้ว มันเป็นความฝันที่ผมอยากได้จริงๆ คุณครูครับผมไม่แก้ไขหรอกครับ คุณครูจะให้ผมสอบตกก็ตามใจ

30   ปีต่อมามีคุณครูแก่ๆ คนหนึ่งพาลูกศิษย์ชั้นประถมกลุ่มหนึ่งไปเยี่ยมชมฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งซึ่งมีที่ดินเป็นหมื่นไร่ มีวัวนม มีม้า มีแพะ มีแกะ อย่างละหมื่นตัว คุณครูแก่ๆ คนนั้นยืนต่อหน้าชายหนุ่มอายุ   40   กว่าปีคนหนึ่งแล้วกล่าวต่อหน้ากลุ่มลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ว่า วันนี้ครูมาแสดงความยินดีกับลูกศิษย์ของครูคนนี้ที่ไม่ยอมให้ใครมาทำลายความฝันของตน ครูต้องขอโทษต่อเธอด้วย ตลอดเวลา  30  ปีที่ผ่านมา ครูได้ทำลายความฝันของเด็กชายและเด็กหญิงนับพัน นับหมื่นคน มีเธอคนเดียวที่ไม่ยอมให้ครูทำลายความฝันของเธอ เธอได้มุ่งมั่นทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างจนทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงครูเสียใจและขอโทษเธอต่อหน้าลูกศิษย์กลุ่มนี้ของครูด้วย

คุณครูหรือพ่อแม่ของเด็กน้อยทุกคน ที่ได้อ่านบทความนี้ขอร้องเถอะครับ โปรดอย่าได้ทำลายความฝันของเด็กๆ  เลยครับ หากความฝันนั้นดีและสวยงาม ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กได้เดินไปตามความฝันของเขาเถอะครับ


5กล้าตัดสินใจ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีผู้วิเศษท่านหนึ่งอาศัยอยู่บนเชิงเขา
ผู้วิเศษท่านนี้สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งทำนายสิ่งต่าง ๆ  ได้ราวกับตาเห็น สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้กับประชาชนในหมู่บ้านยิ่งนัก  ไม่เว้นแม้กระทั่งพระราชากับพระราชินี

วันหนึ่ง  ขณะที่เจ้าเด็กน้อยจอมซน 2 คนนั่งคุยกันอยู่นั้น ก็ได้เกิดนึกสนุกอยากจะกลั่นแกล้งลองดีกับผู้วิเศษขึ้นมา  โดยจะพยายามหาวิธีทำให้ผู้วิเศษทำนายอะไรผิด ๆ  ให้ได้
คำกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวเราจะไปจับนกกันมาสักตัว กำใส่มือไว้ แล้วไปให้ผู้วิเศษทำนายว่าสิ่งที่อยู่ในมือคืออะไร ถ้าทำนายถูกว่าเป็นนก ก็ให้ทำนายต่อไปว่า นกในมือนี้เป็นหรือตาย ถ้าทำนายว่าเป็นเราก็จะบีบนกให้ตาย แต่ถ้าทำนายว่าตายแล้ว เราก็จะปล่อยนกไป”

แดงเห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ ทั้งสองคนจึงไปจับนกตัวเล็ก ๆ มาตัวหนึ่ง กำไว้ในมือแล้วเดินทางไปพบผู้วิเศษ ณ ที่พำนักบนเชิงเขา
เมื่อไปถึง ดำก็ยื่นแขนออกมาข้างหน้า แล้วเอ่ยกับผู้วิเศษว่า “ท่านผู้วิเศษ ในกำมือของเรานี้คืออะไร”
ผู้วิเศษหัวเราะหึหึ ก่อนตอบว่า “สิ่งที่อยู่ในมือของเจ้าก็คือนกยังไงล่ะ”  (มือของดำมีขนาดเล็กขนนกจึงแลบออกมาได้)

คำถามต่อด้วยความกระตือรือร้นว่า “นกในกำมือของเราตัวนี้เป็นหรือตาย”
ผู้วิเศษตอบว่า “เด็กน้อย ชีวิตของนกตัวนี้อยู่ในกำมือของเจ้า อนาคตของมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว”

BY:BPOWER SYSTEM

 

รวมหนังสือพิมพ์ ,ไทยรัฐ , เดลินิวส์ , สำนักข่าวINN , ไทยโพสต์ , มติชน , ข่าวสด , คมชัดลึก , ผู้จัดการ , สยามกีฬา , โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า , สยามรัฐ , BangkokPost , เนชั่น , สยามธุรกิจ , กระแสหุ้น , บ้านเมือง , เทเลคอมเจอร์นัล , immjernal